มาตรการ LTV ปี 2568 และผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์

ธปท.ผ่อนคลายเกณฑ์กำกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือ LTV ปลดล็อกบ้านราคาต่ำ 10 ล้านบาท สัญญาที่ 2 และบ้านราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้น สัญญาที่ 1 มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569

มาตรการ Loan to Value (LTV) เป็นเครื่องมือสำคัญในการกำกับดูแลตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริหารความเสี่ยงทางการเงิน มาตรการ LTV ล่าสุดในปี 2568 ได้รับการปรับปรุงเพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีผลกระทบต่อหลายภาคส่วน ดังนี้
1. ผู้กู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย

ผู้ซื้อบ้านหลังแรกสามารถกู้ได้สูงสุด 100% ของมูลค่าหลักประกัน และกู้เพิ่มสำหรับค่าตกแต่งบ้านได้อีก 10%

ลดภาระเงินดาวน์ ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น

ช่วยป้องกันการก่อหนี้เกินตัว โดยมีการกำหนดสัดส่วนการกู้ให้เหมาะสมกับความสามารถในการผ่อนชำระ
2. นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์

การซื้อบ้านหลังที่ 2 และ 3 ต้องวางเงินดาวน์สูงขึ้นเพื่อลดการเก็งกำไรเกินตัว

นักลงทุนต้องมีแผนการเงินที่รอบคอบขึ้น ช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับตลาด

ลดโอกาสเกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์

ลดการเก็งกำไร ทำให้สามารถประเมินความต้องการที่แท้จริงของผู้ซื้อได้แม่นยำขึ้น

ช่วยให้การพัฒนาโครงการสอดคล้องกับดีมานด์ที่แท้จริงของตลาด

ลดความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันเพียงพอ

คัดกรองคุณภาพของผู้กู้ได้ดีขึ้น ลดโอกาสการเกิดหนี้เสียในอนาคต


อัปเดตมาตรการ LTV ปี 2568

ที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท
บ้านหลังแรก: กู้ได้ 100% ของมูลค่าหลักประกัน และเพิ่มได้อีก 10% สำหรับค่าตกแต่ง
บ้านหลังที่สอง: กู้ได้ 90-100% ขึ้นอยู่กับระยะเวลาผ่อนชำระของบ้านหลังแรก
บ้านหลังที่สาม: ต้องวางเงินดาวน์ 30%

ที่อยู่อาศัยราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป
บ้านหลังแรก: วางเงินดาวน์ 10%
บ้านหลังที่สอง: วางเงินดาวน์ 20%
บ้านหลังที่สาม: วางเงินดาวน์ 30%

ผลกระทบโดยรวมของมาตรการ LTV ปี 2568

ผู้ซื้อบ้านหลังแรก – ได้รับโอกาสเข้าถึงที่อยู่อาศัยง่ายขึ้น

นักลงทุน – ต้องปรับกลยุทธ์การเงินให้รัดกุมขึ้น

ผู้พัฒนาโครงการ – ต้องพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์ผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง

ธนาคาร – ลดความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ และเพิ่มคุณภาพลูกหนี้
มาตรการ LTV ล่าสุดยังคงมุ่งเน้นให้ประชาชนสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันก็รักษาเสถียรภาพทางการเงินของระบบเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในระยะยาว
